ลดน้ำหนักช่วงล็อกดาวน์สกัดโควิด-19
จะเกิดอะไรขึ้น หากคำตอบที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น
หลายคนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคโควิด-19
เพียงเพราะเป็นช่วงเวลาที่เครียดและมีตู้เย็นเป็นเพื่อนที่ไม่ต้องรักษาระยะห่าง
หากผลพวงจากล็อกดาวน์ทำให้คุณหนักเพิ่มขึ้นอีก 2-3 กิโลกรัมเข้าให้แล้ว
คุณจะลองหาวิธีควบคุมอาหารแบบอื่น สมัครฟิตเนส หรือลองติดต่อผู้ให้บริการด้านสุขภาพหรือไม่
โดย Dr. Michael Vallis, สิงหาคม 2020
ความรู้คือพลัง:
มองให้ลึกถึงปัญหา
ทราบหรือไม่ว่า ภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรัง ใช่แล้ว… นั่นหมายความว่าเราเข้าใจผิดกันมาเนิ่นนาน
มีคำบรรยายที่บอกต่อกันมายาวนานว่า
ใครก็สามารถควบคุมน้ำหนักได้เพียงแค่การรักษาสมดุลระหว่าง
"แคลอรีขาเข้า" และ "แคลอรีขาออก" ถ้าเช่นนั้น
เมื่อคุณน้ำหนักขึ้นจากการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีมากเกินไป ก็เพียงลดปริมาณลงแล้วคุณก็จะลดน้ำหนักได้
อย่าหลอกตัวเอง ว่าการควบคุมน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องง่าย
ผลคือมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทำไมน่ะหรือ
ก็เพราะว่าน้ำหนักต่างจากพฤติกรรม คุณจึงไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้โดยตรง
ฟังดูแรงไปหน่อยใช่ไหม มาลองดูตัวอย่างกัน หากผมขอให้คุณทานผลไม้ 3
ครั้งในวันนี้ คุณก็สามารถทำได้ (หากมีผลไม้เตรียมไว้ให้)
หากผมขอให้คุณเดิน 30 นาทีเวลาใดก็ได้ในช่วง 8.00-21.00 น. คุณก็น่าจะทำได้เช่นกัน
นํ้าหนักต่ำกว่าเกณฑ์
—
BMI 10.0-18.5
การมีนํ้าหนักตัวน้อยเกินไปอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณรับประทานอาหารไม่เพียงพอหรือคุณอาจป่วย
หากคุณมีนํ้าหนักน้อยเกินไป โปรดติดต่อ แพทย์ของคุณเพื่อการประเมินเพิ่มเติม
นํ้าหนักปกติ
—
BMI 18.5-25.0
แพทย์แนะนําว่าคุณควรรักษานํ้าหนักตัวให้อยู่ในภายใน ช่วงน้ำหนักนี้
อ้วนระยะเริ่มต้น (Pre-obesity)
—
BMI 25.0-30.0
* องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดประเภทคําว่า ‘อ้วนระยะเริ่มต้น’
ว่าเป็นภาวะ ‘น้ำหนักเกิน’
ผู้ที่จัดอยู่ในประเภท นี้อาจมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะโรคอ้วน
นอกจากนี้ ยังอาจมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
หรือปัญหาทางสุขภาพ ที่เฝ้าระวังอยู่อาจแย่ลง คําแนะนําคือ
ปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ ในการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วน
มีคําแนะนําสองข้อ สําหรับผู้ที่จัดอยู่ในประเภทอ้วนระยะเริ่มต้น
ซึ่งเป็นคำแนะนําสำหรับแนวทางการปฏิบัติทางคลินิกของยุโรปและอเมริกา เพื่อจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนในผู้ใหญ่
คําแนะนําสําหรับ ผู้ที่มีระดับ BMI อยู่ระหว่าง 25.0 และ 29.9 และผู้
ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว (อาทิ ความดันโลหิต สูง
หรือคอเลสเตอรอลสูง) เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอีก ด้วยการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพและออกกําลังกายเพิ่มขึ้น
สําหรับผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 27 ถึง 29 และ
ยังมีปัญหาสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว คำแนะนำคือให้ลด
นํ้าหนักโดยผสมผสานการจัดการรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่และใช้ยาลดน้ำหนักที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ร่วมด้วย เพื่อลดให้ได้นํ้าหนักตามเป้าหมายและปรับปรุงสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
ภาวะโรคอ้วน I
—
BMI 30.0-35.0
ผู้ที่มีระดับ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปอาจมีภาวะโรคอ้วน
ซึ่งหมายถึงการสะสมของไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ปัจจุบันองค์กรด้านสุขภาพจํานวนมากยอมรับว่าภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถจัดการได้
องค์การอนามัยโลกและองค์กรด้านสุขภาพอื่น ๆ
จําแนกภาวะโรคอ้วนออกเป็น 3 กลุ่ม :
การจําแนกประเภทภาวะโรคอ้วน
BMI
ประเภท 1
30.0–34.9
ประเภท 2
35.0–39.9
ประเภท 3
มากกว่า 40
ช่วงของค่า BMI
จะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ไขมันในร่างกายส่วนเกินมีต่อสุขภาพของแต่ละบุคคล
อายุ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เมื่อค่า BMI เพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขอแนะนําให้ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30
ขึ้นไปให้ปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนเพื่อวินิจฉัย
ประเมินความเสี่ยง และรักษาภาวะโรคอ้วน รวมถึงภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว
เป้าหมายของการจัดการและการรักษาภาวะโรคอ้วนไม่ใช่เพียงการลดนํ้าหนักเท่านั้น
แต่ยังเป็นการทําให้สุขภาพดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพอื่น
ๆ ด้วย ลดน้ำหนักช่วงล็อกดาวน์โควิด-19 จะเกิดอะไรขึ้น หากคำตอบไม่ใช่สิ่งที่คุณมองหามาตลอด
มีทางเลือกในการรักษาภาวะโรคอ้วนที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จํานวนมากที่อาจจะนำมาแนะนําได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล
สภาวะสุขภาพ แม้จะมีหรือไม่มีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว
การรักษาอาจรวมถึงทางเลือกต่อไปนี้ผสมผสานกัน**:
*
โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนจะแนะนำสําหรับผู้ที่มี
BMI เกินกว่า 35 และมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว นอกจากนี้
โดยทั่วไปยังเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป
** ข้อความปฏิเสธความรับผิด:
ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคําแนะนําของผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้
หากคุณมีคําถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ
คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือผู้ที่มีคุณวุฒิท่านอื่น ๆ
ภาวะโรคอ้วน II
—
BMI 35.0-40.0
ผู้ที่มีระดับ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปอาจมีภาวะโรคอ้วน
ซึ่งหมายถึงการสะสมของไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ปัจจุบันองค์กรด้านสุขภาพจํานวนมากยอมรับว่าภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถจัดการได้
องค์การอนามัยโลกและองค์กรด้านสุขภาพอื่น ๆ
จําแนกภาวะโรคอ้วนออกเป็น 3 กลุ่ม :
การจําแนกประเภทภาวะโรคอ้วน
BMI
ประเภท 1
30.0–34.9
ประเภท 2
35.0–39.9
ประเภท 3
มากกว่า 40
ช่วงของค่า BMI
จะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ไขมันในร่างกายส่วนเกินมีต่อสุขภาพของแต่ละบุคคล
อายุ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เมื่อค่า BMI เพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขอแนะนําให้ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30
ขึ้นไปเข้ารับการปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนเพื่อวินิจฉัย
ประเมินความเสี่ยง และรักษาภาวะโรคอ้วนรวมถึงภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว
เป้าหมายของการจัดการและการรักษาภาวะโรคอ้วนไม่ใช่เพียงการลดนํ้าหนักเท่านั้น
แต่ยังเป็นการทําให้สุขภาพดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพอื่น
ๆ ด้วย การลดนํ้าหนักแม้เพียงเล็กน้อย อย่างเช่น นํ้าหนักตัวร้อยละ 5
ขึ้นไป และรักษานํ้าหนักไม่ดีดกลับขึ้นมาอีก
อาจช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว
มีทางเลือกในการรักษาภาวะโรคอ้วนที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จํานวนมากที่อาจจะนำมาแนะนําได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล
สภาวะสุขภาพ แม้จะมีหรือไม่มีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัวก็ตาม
การรักษาอาจรวมถึงทางเลือกต่อไปนี้ผสมผสานกัน**:
*
โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนจะแนะนำสําหรับผู้ที่มี
BMI เกินกว่า 35 และมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว นอกจากนี้
โดยทั่วไปยังเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป
** ข้อความปฏิเสธความรับผิด:
ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคําแนะนําของผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้
หากคุณมีคําถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ
คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือผู้ที่มีคุณวุฒิท่านอื่น ๆ
ภาวะโรคอ้วน III
—
BMI 40.0-50.0
ผู้ที่มีระดับ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปอาจมีภาวะโรคอ้วน
ซึ่งหมายถึงการสะสมของไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อ
สุขภาพ ปัจจุบันองค์กรด้านสุขภาพจํานวนมากยอมรับว่าภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถจัดการได้
องค์การอนามัยโลกและองค์กรด้านสุขภาพอื่น ๆ
จําแนกภาวะโรคอ้วนออกเป็น 3 กลุ่ม :
การจําแนกประเภทภาวะโรคอ้วน
BMI
ประเภท 1
30.0–34.9
ประเภท 2
35.0–39.9
ประเภท 3
มากกว่า 40
ช่วงของค่า BMI จะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ไขมันในร่างกายส่วนเกินมีต่อ
สุขภาพของแต่ละบุคคล อายุ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เมื่อ ค่า BMI
เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขอ แนะนําให้ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปให้ปรึกษา
ผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนเพื่อวินิจฉัย
ประเมิน ความเสี่ยง และรักษาภาวะโรคอ้วนรวมถึงภาวะแทรกซ้อน ด้านสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว
เป้าหมายของการจัดการและการรักษาภาวะโรคอ้วนไม่ใช่เพียงการ
ลดนํ้าหนักเท่านั้น
แต่ยังเป็นการทําให้สุขภาพดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ทางสุขภาพอื่น ๆ ด้วย การลดนํ้าหนักแม้เพียงเล็กน้อย อย่างเช่น
นํ้าหนักตัวร้อยละ ห้าขึ้นไป และรักษานํ้าหนักไม่ดีดกลับขึ้นมาอีก
อาจช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว
มีทางเลือกในการรักษาภาวะโรคอ้วน
ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จํานวนมากที่อาจจะนำมาแนะนําได้
ตามความต้องการของแต่ละบุคคล สภาวะสุขภาพ และการมีหรือไม่มี
ภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว การรักษาอาจรวมถึง
ทางเลือกต่อไปนี้รวมกัน**:
* โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนจะแนะนำสําหรับ
ผู้ที่มี BMI เกินกว่า 35 และมีภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากนํ้าหนักตัว
นอกจากนี้ โดยทั่วไปยังเป็นตัวเลือกสำหรับ ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป
** ข้อจำกัดความรับผิด:
ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคําแนะนําของผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้
หากคุณมีคําถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ
คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือผู้ที่มีคุณวุฒิท่านอื่น ๆ
พฤติกรรมปรับได้ แต่น้ำหนักเปลี่ยนยาก
คุณควบคุมอาหารที่คุณทานและวิธีการออกกำลังกายได้ (ย้ำอีกครั้งคือ
ภายใต้ขีดจำกัดที่มี) แต่เนื่องจากน้ำหนักต่างจากพฤติกรรม เราจึงเลือกปรับน้ำหนักเสมือนมีสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแทบไม่ได้เลย
ไม่เพียงแค่นั้น พันธุกรรมของคุณก็มีความสำคัญมาก
มีการประเมินว่าประมาณร้อยละ 40-70 ของคนที่มี
แนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนนั้นมาจากพันธุกรรม
นอกจากนั้นแล้วยังมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมทางสังคมกับ น้ำหนักของคุณ
นี่ยังไม่นับการที่สังคมของเราได้เปิดช่องให้การบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูงแต่โภชนาการต่ำเข้าถึงง่าย แต่โอกาสในการทำกิจกรรมกลับยาก
หรือจะพูดอีกอย่างว่า ไม่ว่าคุณจะตัดจบอย่างไร
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้สนับสนุนอย่างชัดเจนกรณีที่น้ำหนักไม่ใช่เรื่องของทางเลือกและความมีวินัย
แต่เป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม ชีวภาพ สังคมและวัฒนธรรม และจิตวิทยาที่ซับซ้อน
Share
”มีการประเมินว่า ประมาณร้อยละ 40-70 ของคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนนั้นมาจากพันธุกรรม”
-Dr. Michael Vallis
แชร์เนื้อหานี้
แล้วจะรู้อย่างไรว่าเราเป็นโรคอ้วน
ไม่ใช่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก
แต่เป็นผลจากเซลล์ไขมันส่วนเกินที่มีต่อสุขภาพ ความสามารถในการทำงาน
และคุณภาพชีวิต เซลล์ไขมันไม่ได้อยู่นิ่ง
เซลล์เหล่านี้ไม่ได้อยู่นิ่งโดยไม่ทำปฏิกิริยาใด ๆ เลย
เซลล์ไขมันจะหลั่งฮอร์โมนและเพปไทด์ ซึ่งเมื่ออยู่ใกล้กับหัวใจ ตับ
ตับอ่อน ฯลฯ (เนื้อเยื่อไขมันในช่องท้อง) อาจก่อให้เกิดโรคมากมาย
เมื่อศึกษาเพิ่มเติมไปอีกขั้น
คุณต้องเข้าใจว่าร่างกายช่วยปกป้องน้ำหนักสูงสุด “ใช่แล้ว ปกป้อง”…
ร่างกายของเรามีระบบตอบสนองตามสัญชาตญาณพื้นฐาน ขอยกตัวอย่างสักหน่อย
เนื่องด้วยความร้อนที่สูงเกินไปทำให้เราเสี่ยงต่อการถูกทำลายของสมอง
เราจึงเริ่มขับเหงื่อโดยอัตโนมัติเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายของเรา
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ
อุณหภูมิเยือกแข็งไม่ดีสำหรับร่างกายและอาจก่ออันตราย
จึงเป็นสาเหตุที่ร่างกายเริ่มมีอาการสั่นโดยอัตโนมัติเมื่ออากาศเย็น
เพื่อดึงอุณหภูมิให้กลับคืนมา เท่านี้ทุกอย่างก็ยังถือว่าดี
ในทำนองเดียวกัน ร่างกายสร้างมาเพื่อต้านทานการลดน้ำหนัก
ในอดีตเมื่อตอนที่อาหารไม่ได้หามาได้ง่าย ๆ คนเรามักเสี่ยงต่อความหิวโหย
ดังนั้นเมื่อน้ำหนักเราลดลง กลไกในตัวของเราจะถีบกลับไปเป็นอย่างเดิม
แทนอาการสั่นหรือเหงื่อออก สมองให้เราหิวมากขึ้น หยุดความรู้สึกอิ่มท้อง
และชะลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลง ดังนั้น
กลไกการรักษาชีวิตเหล่านั้นจึงยังคงทำงานอยู่เบื้องหลัง จนถึงปัจจุบัน...
Share
“ในช่วง 3-6 เดือนจะถึงจุดหนึ่งที่ น้ำหนักไม่ลดลงและเริ่มนิ่ง ณ
จุดนี้คือการที่ชีววิทยาเข้ามามีบทบาท หากจะเรียกว่าล้มเหลวนั้นก็ง่ายเกินไป”
-Dr. Michael Vallis
แชร์เนื้อหานี้
ช่วงเวลาที่คุ้นเคย เมื่อชีววิทยาเข้ามาอยู่เหนือความพยายาม
มีกราฟแสดงการลดน้ำหนักที่คาดเดาได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ทราบดี
ในช่วงเริ่มต้นของการลดน้ำหนัก
น้ำหนักจะลดลงโดยตัวเลขอาจทำให้รู้สึกดีต่อใจสุด ๆ จากนั้นในช่วง 3-6
เดือน จะถึงจุดหนึ่งที่น้ำหนักไม่ลดลงและเริ่มนิ่ง ณ
จุดนี้คือเรื่องของชีววิทยาที่เข้ามามีบทบาท หากจะเรียกว่าล้มเหลวนั้นก็ง่ายเกินไป
แล้วสาเหตุที่ผมบอกเรื่องนี้ คืออย่างนี้ครับ
เมื่อคนเราใช้รูปแบบพลังงานเข้า-ออก เป้าหมายและความคาดหวังจะแขวนไว้กับสิ่งนี้
บางคนถูกโน้มน้าวให้คิดเช่นนี้ อาจตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักที่ 0.5 กก.
ในแต่ละสัปดาห์ 5 สัปดาห์ลด 2.5 กก. 10 สัปดาห์ลด 5 กก. 30 สัปดาห์ลด 15
กก. เยี่ยมไปเลย! ผมอยากลองด้วย!
แต่น่าเสียดายที่โอกาสที่จะลดได้ขนาดนี้จริง ๆ นั้นมีน้อย… น้อยสุด ๆ
เพราะร่างกายของคุณจะแปรผลที่ต่างออกไป และคุณไม่สามารถฝืนอำนาจของธรรมชาติได้
ความคิดที่ว่า “ทานน้อยลง ขยับตัวมากขึ้น” เป็นผลเสียต่อเราได้อย่างไร
ปัญหาใหญ่กับความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ว่า “ทานน้อยลง
ขยับตัวมากขึ้น”
เมื่อคนเราผ่านการลดน้ำหนักตามขั้นตอนที่คาดการณ์ได้แล้ว
แต่ความสำเร็จขั้นแรกตามมาด้วยน้ำหนักที่ไม่ลดลงอย่างที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นว่าพวกเขามักจะโทษตัวเองทุกครั้งไป
กรณีนี้ทำให้เข้าสู่ลำดับเหตุการณ์ที่เหมือนจะคว้าน้ำเหลว
หากมีสิ่งใดที่เรารู้เกี่ยวกับผู้ที่อยู่ในภาวะโรคอ้วน
นั่นก็คือพวกเขาพยายามอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับการลดน้ำหนัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับกลายเป็นว่า
“ฉันพยายามแต่ก็ล้มเหลว ฉันพยายามแต่ก็ล้มเหลว ฉันพยายามแต่ก็ล้มเหลว”
ฟังดูคุ้น ๆ ไหมครับ
Share
“ความพยายามแต่ล้มเหลวเช่นนี้ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง กรณีนี้เรียกว่า
‘การเรียนรู้บนหนทางที่สิ้นหวัง' และเป็นสภาวะทางจิตใจที่อันตรายมาก”
-Dr. Michael Vallis
แชร์เนื้อหานี้
การเรียนรู้บนหนทางที่สิ้นหวัง
ในฐานะนักจิตวิทยา เมื่อผมเห็นลักษณะเช่นนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเศร้าจริง
ๆ ทำไมน่ะรึ? เพราะความพยายามแต่
ล้มเหลวเช่นนี้ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง กรณีนี้เรียกว่า
“การเรียนรู้บนความสิ้นหวัง” และเป็นสภาวะทางจิตใจที่อันตรายมาก
มันจะรู้สึกคล้ายกับโรคซึมเศร้า
ซึ่งเข้ามารบกวนการดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของผู้คน
แล้วยังบั่นทอนการเห็นคุณค่าในตัวเองของคน ๆ หนึ่งด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้
มีการศึกษาจำนวนหนึ่งที่ดำเนินการขึ้นเพื่อทำความเข้าใจวิธีปรับการดูแลผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนให้ดีขึ้น
สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ก็คือ
ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนไม่ได้มองว่าผู้ให้บริการทางการแพทย์นั้นเป็นที่พึ่งได้
แต่คิดว่าการควบคุมน้ำหนักนั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
และเขาเพียงแค่ต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายมากขึ้นเท่านั้น
ขณะผู้ให้บริการทางการแพทย์คิดว่าพวกเขาสามารถช่วยได้ แต่ก็ยังยึดติดว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นวิธีเดียวที่ดีที่สุด
ถึงเวลาเปลี่ยนคำบรรยายบทเก่า
ผมดูแลผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค ‘70
ผมเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า คนที่มีภาวะโรคอ้วนรู้สึกโกรธถึงขีดสุด
เมื่อมีคนมาจี้จุดว่า “คุณเพียงต้องทานให้น้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้น”
ราวกับว่าพวกเขาคาดหวังให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนตอบว่า “จริงเหรอ
ไม่เคยมีใครพูดแบบนั้นกับฉันมาก่อนเลย ฉันไม่เคยรู้เลยว่า การทานน้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้นจะช่วยได้”
การที่ได้ฟังเรื่องเช่นนี้มาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน
ทำให้ผมรู้ว่าเราพูดผิดมาตลอด
ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนคำบรรยายถึงความหมายของภาวะโรคอ้วน การเกิดโรคและวิธีการรักษาภาวะโรคอ้วน
เมื่อมีคนขอให้ผมอธิบายว่า ทำไมอัตราการเกิดภาวะโรคอ้วนจึงเพิ่มขึ้น
คำตอบของผมคือ
“เพราะสมองของมนุษย์ไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่อีกต่อไปแล้วครับ”
ไม่มีอะไรผิดปกติกับคนและสมอง แต่เมื่อรวมกับสภาพแวดล้อมแล้ว ปัญหาก็อาจเกิดขึ้นได้
จะเกิดอะไรขึ้น หากคุณเปลี่ยนคำบรรยายที่ว่า
ภาวะโรคอ้วนเป็นแค่เรื่องการทานน้อยลงและขยับร่างกายมากขึ้น แล้วผลคือความล้มเหลวล่ะครับ
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อรู้สึกถึงความล้มเหลวและสิ้นหวัง พวกเขาจะหยุดดูแลตัวเอง
Share
“ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนคำบรรยายความหมายของภาวะโรคอ้วน
การเกิดโรคและวิธีการรักษา ภาวะโรคอ้วน”
-Dr. Michael Vallis
แชร์เนื้อหานี้
แล้วควรไปต่ออย่างไรล่ะ ผมขออธิบายแบบนี้ครับ
จะเกิดอะไรขึ้น
หากภาวะโรคอ้วนเป็นโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นผลมาจากปัญหาทางพันธุกรรม
สภาพแวดล้อม ชีววิทยา (โดยเฉพาะชีววิทยาจากสมอง)
สังคมและจิตใจที่ขยายขอบเขตไปถึงบริบทของสภาพแวดล้อมสมัยใหม่ที่มีอาหารแปรรูปจนล้นหลาม
การดำเนินชีวิตที่เกินพอดี แต่มีเวลาเพียงน้อยนิดในการดูแลตัวเอง
และแม้ที่ผ่านมาคุณจะเคยพยายามมาตลอด
แต่คุณไม่เคยเข้ารับการรักษาภาวะนี้จริงจัง
จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครจัดการการดูแลรักษาคุณด้วยศาสตร์ที่เรามีในปัจจุบัน
ความพยายามที่ผ่านมานั้นมุ่งประเด็นไปที่แนวคิดแบบการทานน้อยลง ขยับร่างกายมากขึ้น
หากคุณสามารถเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้ ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป
ความหวัง
นี่คือทรรศนะของผม
ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนนี้มีโอกาสที่จะทำให้ความหวังเป็นจริงขึ้นมาในการจัดการกับภาวะโรคอ้วนและเป็นหนทางที่จะทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น
Share
“จุดเปลี่ยนนี้มีโอกาสที่จะทำให้ ความหวังเป็นจริงขึ้นมาในการจัดการกับภาวะโรคอ้วนและเป็นหนทางที่จะทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น”
-Dr. Michael Vallis
แชร์เนื้อหานี้
ผมกังวลว่า ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนนั้นจะตำหนิตัวเอง เพราะจริง ๆ
เรารู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไร กรณีนี้เรียกว่า
“อคติเรื่องน้ำหนักตามค่านิยม” และไม่คิดว่าผู้ให้บริการทางการแพทย์จะพร้อมให้ความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม หากเราจัดการกับภาวะโรคอ้วนคล้ายกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ
เราก็สามารถสร้างความแตกต่างได้
ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น
ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนได้ ท้ายที่สุดแล้ว
การจัดการภาวะโรคอ้วนก็คือวิธีการรักษาที่ช่วยให้มีสุขภาพ การทำงาน
และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสำคัญกว่าขีดน้ำหนักที่บุคคลหนึ่งสามารถลดได้
ผมอยากรู้ว่าคุณยินดีที่จะติดต่อและขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับภาวะที่คุณเป็นอยู่หรือยัง
ข้อมูลอ้างอิง
Bray GA, Kim KK, Wilding JPH, World Obesity Federation.
Obesity: a chronic relapsing progressive disease process. A position
statement of the World Obesity Federation. Obes Rev Off J Int Assoc
Study Obes. 2017;18(7):715–23. AMA resolutions. June
2012. Food and Drug Administration. Guidance for Industry
Developing Products for Weight Management 2007; Canadian
Obesity Network. EASO: 2015 Milan Declaration: A Call to
Action on Obesity.; RCP(UK). RCP calls for obesity to be
recognised as a disease. https://www.rcplondon.ac.uk/news/rcp-calls-obesity-be-recognised-disease .
Mechanick JI, Hurley DL, Garvey WT. Adipposity-based chronic
disease as a new diagnostic term: the American Association of
Clinical Endocrinoligy and American College of Endocrinology
Position Statement. Endocr Pract Off J Am Coll Endocrinol Am Assoc
Clin Endocrinol. 2017 Mar;23(3):372–8. Waalen J. The
genetics of human obesity. Translational Research 2014;
164(4):293–301. Kaprio J, Eriksson J, Lehtovirta M, Koskenvuo
M, Tuomilehto J. Heritability of leptin levels and the shared
genetic effects on body mass index and leptin in adult Finnish
twins. IntJObesRelatMetabDisord2001Jan251132-7.
2001;25(1):132-7. Freedhoff Y; S AM. Best Weight: a Practical
Guide to Office-Based Obesity Management. Canadian Obesity Network;
2010. Sharma AM, Bélanger A, Carson V, Krah J, Langlois M-F,
Lawlor D, et al. Perceptions of barriers to effective obesity
management in Canada: Results from the ACTION study. Clin Obes. 2019
Oct;9(5):e12329. Caterson ID, Alfadda AA, Auerbach P, et al.
Gaps to bridge: misalignment between perception, reality and actions
in obesity. Diabetes Obes Metab. 2019;1–11. Vallis M.
Quality of life and psychological well-being in obesity management:
improving the odds of success by managing distress. Int J Clin
Pract. 2016 Mar;70(3):196–205.