- Bray GA, Kim KK, Wilding JPH, World Obesity Federation. Obesity: a chronic relapsing progressive disease process. A position statement of the World Obesity Federation. Obes Rev Off J Int Assoc Study Obes. 2017;18(7):715–23.
- AMA resolutions. June 2012.
- Food and Drug Administration. Guidance for Industry Developing Products for Weight Management 2007;
- Canadian Obesity Network.
- EASO: 2015 Milan Declaration: A Call to Action on Obesity.;
- RCP(UK). RCP calls for obesity to be recognised as a disease. https://www.rcplondon.ac.uk/news/rcp-calls-obesity-be-recognised-disease.
- Mechanick JI, Hurley DL, Garvey WT. Adipposity-based chronic disease as a new diagnostic term: the American Association of Clinical Endocrinoligy and American College of Endocrinology Position Statement. Endocr Pract Off J Am Coll Endocrinol Am Assoc Clin Endocrinol. 2017 Mar;23(3):372–8.
- Waalen J. The genetics of human obesity. Translational Research 2014; 164(4):293–301.
- Kaprio J, Eriksson J, Lehtovirta M, Koskenvuo M, Tuomilehto J. Heritability of leptin levels and the shared genetic effects on body mass index and leptin in adult Finnish twins. IntJObesRelatMetabDisord2001Jan251132-7. 2001;25(1):132-7.
- Freedhoff Y; S AM. Best Weight: a Practical Guide to Office-Based Obesity Management. Canadian Obesity Network; 2010.
- Sharma AM, Bélanger A, Carson V, Krah J, Langlois M-F, Lawlor D, et al. Perceptions of barriers to effective obesity management in Canada: Results from the ACTION study. Clin Obes. 2019 Oct;9(5):e12329.
- Caterson ID, Alfadda AA, Auerbach P, et al. Gaps to bridge: misalignment between perception, reality and actions in obesity. Diabetes Obes Metab. 2019;1–11.
- Vallis M. Quality of life and psychological well-being in obesity management: improving the odds of success by managing distress. Int J Clin Pract. 2016 Mar;70(3):196–205.
ลดน้ำหนักช่วงล็อกดาวน์สกัดโควิด-19
จะเกิดอะไรขึ้น หากคำตอบที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น
หลายคนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 เพียงเพราะเป็นช่วงเวลาที่เครียดและมีตู้เย็นเป็นเพื่อนที่ไม่ต้องรักษาระยะห่าง หากผลพวงจากล็อกดาวน์ทำให้คุณหนักเพิ่มขึ้นอีก 2-3 กิโลกรัมเข้าให้แล้ว คุณจะลองหาวิธีควบคุมอาหารแบบอื่น สมัครฟิตเนส หรือลองติดต่อผู้ให้บริการด้านสุขภาพหรือไม่
โดย Dr. Michael Vallis, สิงหาคม 2020
ความรู้คือพลัง:
มองให้ลึกถึงปัญหา
ทราบหรือไม่ว่า ภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรัง ใช่แล้ว… นั่นหมายความว่าเราเข้าใจผิดกันมาเนิ่นนาน
มีคำบรรยายที่บอกต่อกันมายาวนานว่า ใครก็สามารถควบคุมน้ำหนักได้เพียงแค่การรักษาสมดุลระหว่าง "แคลอรีขาเข้า" และ "แคลอรีขาออก" ถ้าเช่นนั้น เมื่อคุณน้ำหนักขึ้นจากการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีมากเกินไป ก็เพียงลดปริมาณลงแล้วคุณก็จะลดน้ำหนักได้
อย่าหลอกตัวเอง ว่าการควบคุมน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องง่าย
ผลคือมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าน้ำหนักต่างจากพฤติกรรม คุณจึงไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้โดยตรง
ฟังดูแรงไปหน่อยใช่ไหม มาลองดูตัวอย่างกัน หากผมขอให้คุณทานผลไม้ 3 ครั้งในวันนี้ คุณก็สามารถทำได้ (หากมีผลไม้เตรียมไว้ให้)
หากผมขอให้คุณเดิน 30 นาทีเวลาใดก็ได้ในช่วง 8.00-21.00 น. คุณก็น่าจะทำได้เช่นกัน
นํ้าหนักต่ำกว่าเกณฑ์ — BMI 10.0-18.5
การมีนํ้าหนักตัวน้อยเกินไปอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณรับประทานอาหารไม่เพียงพอหรือคุณอาจป่วย หากคุณมีนํ้าหนักน้อยเกินไป โปรดติดต่อ แพทย์ของคุณเพื่อการประเมินเพิ่มเติม
นํ้าหนักปกติ — BMI 18.5-25.0
แพทย์แนะนําว่าคุณควรรักษานํ้าหนักตัวให้อยู่ในภายใน ช่วงน้ำหนักนี้
อ้วนระยะเริ่มต้น (Pre-obesity) — BMI 25.0-30.0
* องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดประเภทคําว่า ‘อ้วนระยะเริ่มต้น’ ว่าเป็นภาวะ ‘น้ำหนักเกิน’
ผู้ที่จัดอยู่ในประเภท นี้อาจมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะโรคอ้วน นอกจากนี้ ยังอาจมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ หรือปัญหาทางสุขภาพ ที่เฝ้าระวังอยู่อาจแย่ลง คําแนะนําคือ ปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ ในการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วน
มีคําแนะนําสองข้อ สําหรับผู้ที่จัดอยู่ในประเภทอ้วนระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นคำแนะนําสำหรับแนวทางการปฏิบัติทางคลินิกของยุโรปและอเมริกา เพื่อจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนในผู้ใหญ่
คําแนะนําสําหรับ ผู้ที่มีระดับ BMI อยู่ระหว่าง 25.0 และ 29.9 และผู้ ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว (อาทิ ความดันโลหิต สูง หรือคอเลสเตอรอลสูง) เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอีก ด้วยการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพและออกกําลังกายเพิ่มขึ้น
สําหรับผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 27 ถึง 29 และ ยังมีปัญหาสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว คำแนะนำคือให้ลด นํ้าหนักโดยผสมผสานการจัดการรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่และใช้ยาลดน้ำหนักที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ร่วมด้วย เพื่อลดให้ได้นํ้าหนักตามเป้าหมายและปรับปรุงสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
ภาวะโรคอ้วน I — BMI 30.0-35.0
ผู้ที่มีระดับ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปอาจมีภาวะโรคอ้วน ซึ่งหมายถึงการสะสมของไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ปัจจุบันองค์กรด้านสุขภาพจํานวนมากยอมรับว่าภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถจัดการได้
องค์การอนามัยโลกและองค์กรด้านสุขภาพอื่น ๆ จําแนกภาวะโรคอ้วนออกเป็น 3 กลุ่ม:
การจําแนกประเภทภาวะโรคอ้วน | BMI |
ประเภท 1 | 30.0–34.9 |
ประเภท 2 | 35.0–39.9 |
ประเภท 3 | มากกว่า 40 |
ช่วงของค่า BMI จะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ไขมันในร่างกายส่วนเกินมีต่อสุขภาพของแต่ละบุคคล อายุ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เมื่อค่า BMI เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขอแนะนําให้ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปให้ปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนเพื่อวินิจฉัย ประเมินความเสี่ยง และรักษาภาวะโรคอ้วน รวมถึงภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว
เป้าหมายของการจัดการและการรักษาภาวะโรคอ้วนไม่ใช่เพียงการลดนํ้าหนักเท่านั้น แต่ยังเป็นการทําให้สุขภาพดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพอื่น ๆ ด้วย ลดน้ำหนักช่วงล็อกดาวน์โควิด-19 จะเกิดอะไรขึ้น หากคำตอบไม่ใช่สิ่งที่คุณมองหามาตลอด
มีทางเลือกในการรักษาภาวะโรคอ้วนที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จํานวนมากที่อาจจะนำมาแนะนําได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล สภาวะสุขภาพ แม้จะมีหรือไม่มีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว การรักษาอาจรวมถึงทางเลือกต่อไปนี้ผสมผสานกัน**:
* โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนจะแนะนำสําหรับผู้ที่มี BMI เกินกว่า 35 และมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว นอกจากนี้ โดยทั่วไปยังเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป
** ข้อความปฏิเสธความรับผิด: ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคําแนะนําของผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้ หากคุณมีคําถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือผู้ที่มีคุณวุฒิท่านอื่น ๆ
ภาวะโรคอ้วน II — BMI 35.0-40.0
ผู้ที่มีระดับ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปอาจมีภาวะโรคอ้วน ซึ่งหมายถึงการสะสมของไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ปัจจุบันองค์กรด้านสุขภาพจํานวนมากยอมรับว่าภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถจัดการได้
องค์การอนามัยโลกและองค์กรด้านสุขภาพอื่น ๆ จําแนกภาวะโรคอ้วนออกเป็น 3 กลุ่ม:
การจําแนกประเภทภาวะโรคอ้วน | BMI |
ประเภท 1 | 30.0–34.9 |
ประเภท 2 | 35.0–39.9 |
ประเภท 3 | มากกว่า 40 |
ช่วงของค่า BMI จะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ไขมันในร่างกายส่วนเกินมีต่อสุขภาพของแต่ละบุคคล อายุ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เมื่อค่า BMI เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขอแนะนําให้ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเข้ารับการปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนเพื่อวินิจฉัย ประเมินความเสี่ยง และรักษาภาวะโรคอ้วนรวมถึงภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว
เป้าหมายของการจัดการและการรักษาภาวะโรคอ้วนไม่ใช่เพียงการลดนํ้าหนักเท่านั้น แต่ยังเป็นการทําให้สุขภาพดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพอื่น ๆ ด้วย การลดนํ้าหนักแม้เพียงเล็กน้อย อย่างเช่น นํ้าหนักตัวร้อยละ 5 ขึ้นไป และรักษานํ้าหนักไม่ดีดกลับขึ้นมาอีก อาจช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว
มีทางเลือกในการรักษาภาวะโรคอ้วนที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จํานวนมากที่อาจจะนำมาแนะนําได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล สภาวะสุขภาพ แม้จะมีหรือไม่มีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัวก็ตาม การรักษาอาจรวมถึงทางเลือกต่อไปนี้ผสมผสานกัน**:
* โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนจะแนะนำสําหรับผู้ที่มี BMI เกินกว่า 35 และมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว นอกจากนี้ โดยทั่วไปยังเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป
** ข้อความปฏิเสธความรับผิด: ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคําแนะนําของผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้ หากคุณมีคําถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือผู้ที่มีคุณวุฒิท่านอื่น ๆ
ภาวะโรคอ้วน III — BMI 40.0-50.0
ผู้ที่มีระดับ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปอาจมีภาวะโรคอ้วน ซึ่งหมายถึงการสะสมของไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อ สุขภาพ ปัจจุบันองค์กรด้านสุขภาพจํานวนมากยอมรับว่าภาวะโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถจัดการได้
องค์การอนามัยโลกและองค์กรด้านสุขภาพอื่น ๆ จําแนกภาวะโรคอ้วนออกเป็น 3 กลุ่ม:
การจําแนกประเภทภาวะโรคอ้วน | BMI |
ประเภท 1 | 30.0–34.9 |
ประเภท 2 | 35.0–39.9 |
ประเภท 3 | มากกว่า 40 |
ช่วงของค่า BMI จะขึ้นอยู่กับผลกระทบที่ไขมันในร่างกายส่วนเกินมีต่อ สุขภาพของแต่ละบุคคล อายุ และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เมื่อ ค่า BMI เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขอ แนะนําให้ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปให้ปรึกษา ผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการจัดการรักษาภาวะโรคอ้วนเพื่อวินิจฉัย ประเมิน ความเสี่ยง และรักษาภาวะโรคอ้วนรวมถึงภาวะแทรกซ้อน ด้านสุขภาพเนื่องจากนํ้าหนักตัว
เป้าหมายของการจัดการและการรักษาภาวะโรคอ้วนไม่ใช่เพียงการ ลดนํ้าหนักเท่านั้น แต่ยังเป็นการทําให้สุขภาพดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ทางสุขภาพอื่น ๆ ด้วย การลดนํ้าหนักแม้เพียงเล็กน้อย อย่างเช่น นํ้าหนักตัวร้อยละ ห้าขึ้นไป และรักษานํ้าหนักไม่ดีดกลับขึ้นมาอีก อาจช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว
มีทางเลือกในการรักษาภาวะโรคอ้วน ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จํานวนมากที่อาจจะนำมาแนะนําได้ ตามความต้องการของแต่ละบุคคล สภาวะสุขภาพ และการมีหรือไม่มี ภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากนํ้าหนักตัว การรักษาอาจรวมถึง ทางเลือกต่อไปนี้รวมกัน**:
* โดยทั่วไปแล้วการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะโรคอ้วนจะแนะนำสําหรับ ผู้ที่มี BMI เกินกว่า 35 และมีภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากนํ้าหนักตัว นอกจากนี้ โดยทั่วไปยังเป็นตัวเลือกสำหรับ ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป
** ข้อจำกัดความรับผิด: ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคําแนะนําของผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้ หากคุณมีคําถามใด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ คุณควรติดต่อแพทย์ของคุณหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือผู้ที่มีคุณวุฒิท่านอื่น ๆ
พฤติกรรมปรับได้ แต่น้ำหนักเปลี่ยนยาก
คุณควบคุมอาหารที่คุณทานและวิธีการออกกำลังกายได้ (ย้ำอีกครั้งคือ ภายใต้ขีดจำกัดที่มี) แต่เนื่องจากน้ำหนักต่างจากพฤติกรรม เราจึงเลือกปรับน้ำหนักเสมือนมีสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแทบไม่ได้เลย
ไม่เพียงแค่นั้น พันธุกรรมของคุณก็มีความสำคัญมาก
มีการประเมินว่าประมาณร้อยละ 40-70 ของคนที่มี
แนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนนั้นมาจากพันธุกรรม
นอกจากนั้นแล้วยังมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมทางสังคมกับ น้ำหนักของคุณ
นี่ยังไม่นับการที่สังคมของเราได้เปิดช่องให้การบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูงแต่โภชนาการต่ำเข้าถึงง่าย แต่โอกาสในการทำกิจกรรมกลับยาก
หรือจะพูดอีกอย่างว่า ไม่ว่าคุณจะตัดจบอย่างไร หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้สนับสนุนอย่างชัดเจนกรณีที่น้ำหนักไม่ใช่เรื่องของทางเลือกและความมีวินัย แต่เป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม ชีวภาพ สังคมและวัฒนธรรม และจิตวิทยาที่ซับซ้อน
แล้วจะรู้อย่างไรว่าเราเป็นโรคอ้วน
ไม่ใช่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก แต่เป็นผลจากเซลล์ไขมันส่วนเกินที่มีต่อสุขภาพ ความสามารถในการทำงาน และคุณภาพชีวิต เซลล์ไขมันไม่ได้อยู่นิ่ง เซลล์เหล่านี้ไม่ได้อยู่นิ่งโดยไม่ทำปฏิกิริยาใด ๆ เลย
เซลล์ไขมันจะหลั่งฮอร์โมนและเพปไทด์ ซึ่งเมื่ออยู่ใกล้กับหัวใจ ตับ ตับอ่อน ฯลฯ (เนื้อเยื่อไขมันในช่องท้อง) อาจก่อให้เกิดโรคมากมาย
เมื่อศึกษาเพิ่มเติมไปอีกขั้น คุณต้องเข้าใจว่าร่างกายช่วยปกป้องน้ำหนักสูงสุด “ใช่แล้ว ปกป้อง”… ร่างกายของเรามีระบบตอบสนองตามสัญชาตญาณพื้นฐาน ขอยกตัวอย่างสักหน่อย
เนื่องด้วยความร้อนที่สูงเกินไปทำให้เราเสี่ยงต่อการถูกทำลายของสมอง เราจึงเริ่มขับเหงื่อโดยอัตโนมัติเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายของเรา อีกตัวอย่างหนึ่งคือ อุณหภูมิเยือกแข็งไม่ดีสำหรับร่างกายและอาจก่ออันตราย จึงเป็นสาเหตุที่ร่างกายเริ่มมีอาการสั่นโดยอัตโนมัติเมื่ออากาศเย็น เพื่อดึงอุณหภูมิให้กลับคืนมา เท่านี้ทุกอย่างก็ยังถือว่าดี
ในทำนองเดียวกัน ร่างกายสร้างมาเพื่อต้านทานการลดน้ำหนัก ในอดีตเมื่อตอนที่อาหารไม่ได้หามาได้ง่าย ๆ คนเรามักเสี่ยงต่อความหิวโหย ดังนั้นเมื่อน้ำหนักเราลดลง กลไกในตัวของเราจะถีบกลับไปเป็นอย่างเดิม แทนอาการสั่นหรือเหงื่อออก สมองให้เราหิวมากขึ้น หยุดความรู้สึกอิ่มท้อง และชะลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลง ดังนั้น กลไกการรักษาชีวิตเหล่านั้นจึงยังคงทำงานอยู่เบื้องหลัง จนถึงปัจจุบัน...
ช่วงเวลาที่คุ้นเคย เมื่อชีววิทยาเข้ามาอยู่เหนือความพยายาม
มีกราฟแสดงการลดน้ำหนักที่คาดเดาได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ทราบดี ในช่วงเริ่มต้นของการลดน้ำหนัก น้ำหนักจะลดลงโดยตัวเลขอาจทำให้รู้สึกดีต่อใจสุด ๆ จากนั้นในช่วง 3-6 เดือน จะถึงจุดหนึ่งที่น้ำหนักไม่ลดลงและเริ่มนิ่ง ณ จุดนี้คือเรื่องของชีววิทยาที่เข้ามามีบทบาท หากจะเรียกว่าล้มเหลวนั้นก็ง่ายเกินไป
แล้วสาเหตุที่ผมบอกเรื่องนี้ คืออย่างนี้ครับ เมื่อคนเราใช้รูปแบบพลังงานเข้า-ออก เป้าหมายและความคาดหวังจะแขวนไว้กับสิ่งนี้
บางคนถูกโน้มน้าวให้คิดเช่นนี้ อาจตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักที่ 0.5 กก. ในแต่ละสัปดาห์ 5 สัปดาห์ลด 2.5 กก. 10 สัปดาห์ลด 5 กก. 30 สัปดาห์ลด 15 กก. เยี่ยมไปเลย! ผมอยากลองด้วย! แต่น่าเสียดายที่โอกาสที่จะลดได้ขนาดนี้จริง ๆ นั้นมีน้อย… น้อยสุด ๆ เพราะร่างกายของคุณจะแปรผลที่ต่างออกไป และคุณไม่สามารถฝืนอำนาจของธรรมชาติได้
ความคิดที่ว่า “ทานน้อยลง ขยับตัวมากขึ้น” เป็นผลเสียต่อเราได้อย่างไร
ปัญหาใหญ่กับความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรมที่ว่า “ทานน้อยลง ขยับตัวมากขึ้น” เมื่อคนเราผ่านการลดน้ำหนักตามขั้นตอนที่คาดการณ์ได้แล้ว แต่ความสำเร็จขั้นแรกตามมาด้วยน้ำหนักที่ไม่ลดลงอย่างที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นว่าพวกเขามักจะโทษตัวเองทุกครั้งไป
กรณีนี้ทำให้เข้าสู่ลำดับเหตุการณ์ที่เหมือนจะคว้าน้ำเหลว หากมีสิ่งใดที่เรารู้เกี่ยวกับผู้ที่อยู่ในภาวะโรคอ้วน นั่นก็คือพวกเขาพยายามอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับการลดน้ำหนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับกลายเป็นว่า “ฉันพยายามแต่ก็ล้มเหลว ฉันพยายามแต่ก็ล้มเหลว ฉันพยายามแต่ก็ล้มเหลว” ฟังดูคุ้น ๆ ไหมครับ
การเรียนรู้บนหนทางที่สิ้นหวัง
ในฐานะนักจิตวิทยา เมื่อผมเห็นลักษณะเช่นนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเศร้าจริง
ๆ ทำไมน่ะรึ? เพราะความพยายามแต่
ล้มเหลวเช่นนี้ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง กรณีนี้เรียกว่า
“การเรียนรู้บนความสิ้นหวัง” และเป็นสภาวะทางจิตใจที่อันตรายมาก
มันจะรู้สึกคล้ายกับโรคซึมเศร้า
ซึ่งเข้ามารบกวนการดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของผู้คน
แล้วยังบั่นทอนการเห็นคุณค่าในตัวเองของคน ๆ หนึ่งด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการศึกษาจำนวนหนึ่งที่ดำเนินการขึ้นเพื่อทำความเข้าใจวิธีปรับการดูแลผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนให้ดีขึ้น สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ก็คือ ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนไม่ได้มองว่าผู้ให้บริการทางการแพทย์นั้นเป็นที่พึ่งได้ แต่คิดว่าการควบคุมน้ำหนักนั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง และเขาเพียงแค่ต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายมากขึ้นเท่านั้น ขณะผู้ให้บริการทางการแพทย์คิดว่าพวกเขาสามารถช่วยได้ แต่ก็ยังยึดติดว่าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเป็นวิธีเดียวที่ดีที่สุด
ถึงเวลาเปลี่ยนคำบรรยายบทเก่า
ผมดูแลผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค ‘70 ผมเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า คนที่มีภาวะโรคอ้วนรู้สึกโกรธถึงขีดสุด เมื่อมีคนมาจี้จุดว่า “คุณเพียงต้องทานให้น้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้น”
ราวกับว่าพวกเขาคาดหวังให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนตอบว่า “จริงเหรอ ไม่เคยมีใครพูดแบบนั้นกับฉันมาก่อนเลย ฉันไม่เคยรู้เลยว่า การทานน้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้นจะช่วยได้”
การที่ได้ฟังเรื่องเช่นนี้มาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ทำให้ผมรู้ว่าเราพูดผิดมาตลอด ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนคำบรรยายถึงความหมายของภาวะโรคอ้วน การเกิดโรคและวิธีการรักษาภาวะโรคอ้วน
เมื่อมีคนขอให้ผมอธิบายว่า ทำไมอัตราการเกิดภาวะโรคอ้วนจึงเพิ่มขึ้น คำตอบของผมคือ “เพราะสมองของมนุษย์ไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่อีกต่อไปแล้วครับ” ไม่มีอะไรผิดปกติกับคนและสมอง แต่เมื่อรวมกับสภาพแวดล้อมแล้ว ปัญหาก็อาจเกิดขึ้นได้
จะเกิดอะไรขึ้น หากคุณเปลี่ยนคำบรรยายที่ว่า ภาวะโรคอ้วนเป็นแค่เรื่องการทานน้อยลงและขยับร่างกายมากขึ้น แล้วผลคือความล้มเหลวล่ะครับ
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อรู้สึกถึงความล้มเหลวและสิ้นหวัง พวกเขาจะหยุดดูแลตัวเอง
แล้วควรไปต่ออย่างไรล่ะ ผมขออธิบายแบบนี้ครับ
จะเกิดอะไรขึ้น หากภาวะโรคอ้วนเป็นโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นผลมาจากปัญหาทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อม ชีววิทยา (โดยเฉพาะชีววิทยาจากสมอง) สังคมและจิตใจที่ขยายขอบเขตไปถึงบริบทของสภาพแวดล้อมสมัยใหม่ที่มีอาหารแปรรูปจนล้นหลาม การดำเนินชีวิตที่เกินพอดี แต่มีเวลาเพียงน้อยนิดในการดูแลตัวเอง
และแม้ที่ผ่านมาคุณจะเคยพยายามมาตลอด แต่คุณไม่เคยเข้ารับการรักษาภาวะนี้จริงจัง จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครจัดการการดูแลรักษาคุณด้วยศาสตร์ที่เรามีในปัจจุบัน ความพยายามที่ผ่านมานั้นมุ่งประเด็นไปที่แนวคิดแบบการทานน้อยลง ขยับร่างกายมากขึ้น
หากคุณสามารถเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้ ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป
ความหวัง
นี่คือทรรศนะของผม ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนนี้มีโอกาสที่จะทำให้ความหวังเป็นจริงขึ้นมาในการจัดการกับภาวะโรคอ้วนและเป็นหนทางที่จะทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น
ผมกังวลว่า ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนนั้นจะตำหนิตัวเอง เพราะจริง ๆ เรารู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไร กรณีนี้เรียกว่า “อคติเรื่องน้ำหนักตามค่านิยม” และไม่คิดว่าผู้ให้บริการทางการแพทย์จะพร้อมให้ความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม หากเราจัดการกับภาวะโรคอ้วนคล้ายกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ เราก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนได้ ท้ายที่สุดแล้ว การจัดการภาวะโรคอ้วนก็คือวิธีการรักษาที่ช่วยให้มีสุขภาพ การทำงาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสำคัญกว่าขีดน้ำหนักที่บุคคลหนึ่งสามารถลดได้
ผมอยากรู้ว่าคุณยินดีที่จะติดต่อและขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับภาวะที่คุณเป็นอยู่หรือยัง
ข้อมูลอ้างอิง
บทความที่เกี่ยวข้อง
You are leaving Truthaboutweight.global
The site you are entering is not the property of, nor managed by, Novo Nordisk. Novo Nordisk assumes no responsibility for the content of sites not managed by Novo Nordisk. Furthermore, Novo Nordisk is not responsible for, nor does it have control over, the privacy policies of these sites.