การกักตัวและภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม:
การรับมือในยุคโควิด-19
คุณอาจเป็นหนึ่งในหลายล้านคนที่ถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้านด้วยการแยกตัวหรือมาตรการกักตัว
เนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
(โควิด-19)
การรักษาระยะห่างทางสังคมและกิจวัตรประจำวันที่หยุดชะงักเป็นความท้าทายสำหรับทุกคน
แต่หากคุณมีภาวะโรคอ้วน
คุณอาจประสบกับช่วงเวลาที่ท้าทายของการใช้ชีวิตภายใต้สังคมที่มีภัยคุกคามระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักที่ยากลำบาก
เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้นอีกนิดและช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์นี้ได้
เราได้สอบถาม Dr. Michael Vallis (ต่อจากนี้จะเรียกใช้ชื่อย่อ MV)
ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาสุขภาพและรองศาสตราจารย์ สาขาเวชศาสตร์ครอบครัวที่
มหาวิทยาลัยดาลฮูซี ประเทศแคนาดา
เพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ผู้คนมีต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา และวิธีที่ดีในการรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้
Share
"หากคุณรู้สึกกังวลใจหรือกลัว นั่นแปลว่าคุณปกติดี"
-Dr. Michael Vallis, health psychologist, Associate Professor of Family
Medicine, Dalhousie University, Canada
แชร์เนื้อหานี้
ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลทั่วไปด้านการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและไม่ควรถือว่าเป็นคําแนะนําทางการแพทย์
หากคุณมีอาการต้องสงสัยของโรคโควิด-19 หากมีคําถาม ข้อสงสัยหรือข้อกังวล คุณควรติดต่อแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานในท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด
คำถาม: หลายคนพบว่าเป็นการยากที่ต้องรับมือกับการอยู่บ้านตลอดทั้งวัน
หลายคนมีความกังวลใจหรือกลัว ทำไมเราจึงตอบสนองไปอย่างนั้น
MV: โดยทั่วไปแล้ว ความกลัวจะก่อตัวขึ้นในที่มืด
หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ปฏิกิริยาตามธรรมชาติต่อการรับรู้ถึงภัยคุกคาม
ความไม่แน่นอน และความคิดที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้น หาก…”
นั้นพรั่งพรูไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ได้แก่ วิตกจริต ความกังวล ความกลัว
และความตื่นตระหนก โควิด-19
นำมาซึ่งภัยคุกคามและความไม่แน่นอนในระดับสูงสุด ดังนั้น
หากคุณรู้สึกกังวลใจหรือกลัว หมายความว่าคุณปกติดี
นอกจากนี้ยังทำให้คุณอยู่ในจุดที่จำเป็นต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเอง
ความวิตกกังวลในระดับต่ำถึงปานกลางสามารถกระตุ้นคุณให้เริ่มลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่ระดับที่สูงมากอาจทำให้คุณท้อแท้หรือไปต่อไม่ไหว
การตอบสนองต่อความกลัวที่เป็นธรรมชาติที่สุดคือการหนี
นั่นคือการหนีจากความกลัว วิธีนี้ใช้ได้ผลดีสำหรับเราในยุคดึกดำบรรพ์
ซึ่งเราสามารถหลบหนีผู้ล่าได้
เราจะหนีจากความเครียดที่ไม่อาจหนีพ้นอย่างโรคโควิด-19 นี้ได้อย่างไร
การกักตัวและภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม
เราเข้าสู่โหมดเอาตัวรอดและปฏิบัติในสิ่งที่ได้ผล ปรากฎว่า
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว อาหารช่วยสงบสติอารมณ์และคิดบวก
หรือทำให้สับสนและไร้ความรู้สึก ถามตัวคุณเอง
คุณมีแนวโน้มที่จะหันไปหาอาหารเมื่อเครียดหรือไม่ ถ้าใช่ คุณสนใจในกลวิธีรับมือกับปัญหาที่สามารถช่วยคุณจัดการกับความเครียดและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับการกินหรือไม่
Share
"ปรากฎว่าสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว อาหารช่วยสงบสติอารมณ์และคิดบวก หรือทำให้สับสนและไร้ความรู้สึก"
-Dr. Michael Vallis, a health psychologist, Associate Professor of Family
Medicine, Dalhousie University, Canada
แชร์เนื้อหานี้
เพราะอาหารทำให้มีความสุข การรับประทานเพราะความเครียด (และรับประทาน
เมื่อรู้สึกเบื่อ) จึงเป็นวิธีการรับมือกับปัญหา
แม้ว่าจะไม่ดีต่อสุขภาพแต่ก็สมเหตุสมผล หากมองในมุมของการรับมือกับปัญหา
ผมจึงแนะนำให้คุณมองว่าอาหารทำหน้าที่ของมัน ในสถานการณ์นี้
ผมขอชวนให้คุณตั้งคำถาม ตัวเอง ฉันจะเปลี่ยนหน้าที่ของอาหารเป็นตัวจัดการความเครียดแทนได้อย่างไร
คำถาม: ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าสถานการณ์ของโรคโควิด-19
อาจส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างไร คำถามที่สำคัญคือ ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนจะรับมือกับความเครียดที่เพิ่มขึ้นนี้ได้อย่างไร
MV : การทำความเข้าใจเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการรับมือกับปัญหา
ใช่ครับ แต่นี่เพิ่งเป็นเพียงก้าวแรก
ทีนี้มาพูดถึงขั้นตอนต่อไปในการรับมือกับปัญหากัน การรับมือกับปัญหามีหลายขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การแสดงออกทางอารมณ์และแรงสนับสนุนทางสังคม
ความกลัวเป็นเรื่องปกติเมื่อมีภัยเข้ามา
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งอารมณ์ความรู้สึก
เราจึงคิดบวกหรือคิดลบไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน
ภัยคุกคามทำให้เกิดความกลัว การรับรู้ถึงการสูญเสียทำให้เกิดความโศกเศร้า
(หรือภาวะซึมเศร้า) และประสบการณ์ก้าวร้าวทำให้เกิดความโกรธ
การรับมือกับความรู้สึกปกติเหล่านี้มักสัมพันธ์กับการแสดงออกทางอารมณ์และแรงสนับสนุนทางสังคม
กล่าวคือ เมื่อเรากำลังกลุ้มใจและวิตกกังวล
เราไม่จำเป็นต้องระงับความรู้สึกเหล่านี้ การหาวิธีแสดงความรู้สึกของเรา
(เช่น การพูดคุย การเขียน การร้องเพลง หรือการเต้นรำ)
สามารถช่วยให้เราปลดปล่อยความรู้สึกได้ อารมณ์เคลื่อนตัวดุจระลอกคลื่น
เมื่อคลื่นซัดเข้ามาแล้วเราปล่อยวาง อารมณ์เหล่านั้นก็จะพัดผ่านไป
การพยายามเพิกเฉยหรือข่มใจต่อความรู้สึกปกตินั้น อาจทำให้หลายสิ่งแย่ลง
Share
"ถามตัวคุณเอง: ฉันจะเปลี่ยนหน้าที่ของอาหารเป็น ตัวจัดการความเครียดได้อย่างไร"
-Dr. Michael Vallis, a health psychologist, Associate Professor of Family
Medicine, Dalhousie University, Canada
แชร์เนื้อหานี้
ขั้นตอนที่ 2: มีส่วนร่วมในกลยุทธ์การรับมือกับปัญหา
นี่คือแนวคิดในการเปลี่ยนอาหารให้เข้ามามีบทบาทเป็นตัวจัดการความเครียด
หากคุณทราบว่าตัวเองทานอาหารเพื่อตอบสนองต่อความกลัว ความวิตกกังวล
หรือความเบื่อหน่าย
คุณอยากจะลองใช้กลยุทธ์การรับมือกับปัญหาอื่นนอกเหนือจากการทานอาหารหรือไม่
ข่าวดีคือมีกลวิธีทางเลือกมากมายที่อาจจะเป็นประโยชน์
แต่ข่าวร้ายก็คือต้องเรียนรู้กลวิธีรับมือกับปัญหา
ซึ่งต้องเรียนรู้และก็ใช่ว่าจะได้ผลในทันที
เราแนะนำให้ผู้คนฝึกฝนกลยุทธ์การรับมือกับปัญหาหลาย ๆ ครั้ง ประมาณ 20
หรือ 25 ครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าวิธีนั้นมีประโยชน์หรือไม่
ผมสามารถสรุปกลยุทธ์ทั่วไปของการรับมือกับปัญหาออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
กิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายสงบ
การตอบสนองต่อความเครียดทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมต่อปฏิกิริยา เช่น
การหลั่งฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อตึงและหายใจเร็วขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามทำให้ร่างกายพร้อมปรับพฤติกรรม
การเรียนรู้ที่จะทำให้ใจสงบช่วยให้จัดการกับความเครียดได้เป็นอย่างมาก
วิธีการสงบสติอารมณ์ เช่น การหายใจลึก ๆ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
และการทำจิตใจให้สงบ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น โยคะ ไทเก๊ก
การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ฟังเพลง วาดภาพ การลูบแมวหรือสุนัข
หรือการดูแลต้นไม้ใบหญ้านั้นได้ผลดีในหลายคน
ผมสนับสนุนให้คุณใช้ความคิดสร้างสรรค์และลองทำในหลายสิ่งจนกว่าคุณจะพบสิ่งที่ใช่สำหรับคุณ
ทว่า
กิจกรรมเหล่านี้ต้องเป็นไปตามแนวทางของมาตรการการกักกันตัวของรัฐบาล
กิจกรรมทางกายที่ช่วยปลดปล่อยพลัง
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมเป็นวิธีที่ดีในการจัดการความเครียด
การเดิน วิ่ง กระโดด ปั่นจักรยาน หรือเต้นรำเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คน
หากคุณสามารถทำได้ในบ้าน
คุณอาจต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อหาวิธีปลดปล่อยพลังงานของร่างกายในพื้นที่ขนาดเล็ก
ข้อดีของกลยุทธ์การรับมือกับปัญหาคือ แม้เป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ
ก็ช่วยคุณได้
มีวิดีโอสอนออกกำลังกายทางออนไลน์และระบบเสมือนจริงมากมายในช่วงเวลานี้
การแสดงออกทางอารมณ์ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์และความรู้สึก
และการหาวิธีทำความเข้าใจ เข้าถึง
และยอมรับอารมณ์ของเรานั้นเป็นวิธีที่ดีมาก
การสนับสนุนทางสังคม
ปฏิสัมพันธ์ที่ดีเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการจัดการกับความเครียด
ภายใต้สถานการณ์โควิด-19
จะเห็นว่าการแสดงความช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้
แม้ว่าคุณจะต้องแยกห่างจากกันทางกาย
แต่ยังสามารถติดต่อกับสังคมออนไลน์หรือโทรหาเพื่อนและครอบครัวได้
การยอมรับ ผมมั่นใจว่าคุณเคยได้ยินประโยคที่ว่า
“เราต้องอยู่กับปัจจุบัน”
เมื่อวานผ่านไปแล้วและสิ่งที่เราทำได้คือการเรียนรู้จากเมื่อวาน
พรุ่งนี้ยังไม่เกิดขึ้น เราอยู่กับช่วงเวลานี้ “ปัจจุบันขณะ”
การมีสติอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันของเราด้วยการตั้งจิตยอมรับอาจเป็นประโยชน์
สติจะมีมากขึ้น เมื่อเรานึกถึงคุณค่าภายในที่เรามุ่งมั่นตั้งใจ
เราทั้งหลายที่ต้องกักตัวแยกออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเอง
แต่เพื่อชุมชนของเราและคนทั้งโลก
คุณค่าเหล่านั้นสามารถชี้ทางเราได้
Share
"อารมณ์เคลื่อนตัวดุจระลอกคลื่น
เมื่อคลื่นซัดเข้ามาแล้วเราปล่อยวาง อารมณ์เหล่านั้นก็จะพัดผ่านไป"
-Dr. Michael Vallis, a health psychologist, Associate Professor of Family
Medicine, Dalhousie University, Canada
แชร์เนื้อหานี้
ขั้นตอนที่ 3: วางแผนการทานอาหาร
โควิด-19 ได้เปลี่ยนโลกทางกายภาพของเรา สำหรับหลายคน สิ่งต่าง ๆ ได้
เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายและรวดเร็ว เรามีเวลาที่ไม่เป็นแบบแผนมากขึ้น
และเราอยู่ใกล้กับครัวมากกว่าปกติ เราอาจได้รับประโยชน์จาก
การการหาวิธีรักษาระยะห่างจากอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่เราอาจเลือกทานด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เพราะความหิว
หากคุณมีแผนการทานอาหารประจำวัน (เช่น อาหารหลัก 3 มื้อและอาหารว่าง
1 หรือ 2 มื้อ) ก็นับว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายที่จะทานอาหารตามแผน
วิธีควบคุม การทานอาหารมีดังนี้
ทานอาหารให้ตรงเวลาและพยายามหลีกเลี่ยงการทานอาหารในเวลาอื่น
ทานอาหารในสถานที่เดียวเท่านั้น นั่งรับประทานและไม่ทำ
กิจกรรมอื่นใดพร้อมกับการทานอาหาร
หลังจากที่คุณตักอาหารสำหรับตัวคุณแล้ว ให้นำอาหารที่เหลือออกไป
อย่าวางพักไว้บน เตาหรือตู้ บรรจุอาหารลงในถุงเล็ก ๆ
เพื่อไม่ให้คุณ ทานอาหารปริมาณมากในคราวเดียว
(โดยเฉพาะอาหารที่ยั่วน้ำลาย)
ลองหลีกเลี่ยงการนำอาหารที่ยั่วยวนชวนหิวเข้ามาไว้ใน บ้าน
หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโควิด-19 โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก และเว็บไซต์ของหน่วยงานสาธารณสุขในประเทศของคุณ
ข้อมูลอ้างอิง
Marks, I. M. (1987). Fears, phobias, and rituals: Panic,
anxiety, and their disorders . Oxford University Press.
Berthoud, H.-R., Münzberg, H., & Morrison, C. D. (2017).
Blaming the Brain for Obesity: Integration of Hedonic and
Homeostatic Mechanisms. Gastroenterology , 152 (7),
1728–1738. Beck, A. T. (2019). A 60-Year Evolution of
Cognitive Theory and Therapy. Perspectives on Psychological
Science: A Journal of the Association for Psychological
Science , 14 (1), 16–20. Hutto, D. D., Robertson,
I., & Kirchhoff, M. D. (2018). A New, Better BET: Rescuing and
Revising Basic Emotion Theory. Frontiers in Psychology ,
9 . Lillis, J., & Kendra, K. E. (2014). Acceptance
and Commitment Therapy for weight control: Model, evidence, and
future directions. Journal of Contextual Behavioral Science ,
3 (1), 1–7. Almén, N., Lisspers, J., Öst, L.-G.,
& Sundin, Ö. (2019). Behavioral stress recovery management
intervention for people with high levels of perceived stress: A
randomized controlled trial. International Journal of Stress
Management . Varni, J. W., & Banis, H. T. M. A.
(1985). Behavior Therapy Techniques Applied to Eating, Exercise, and
Diet Modification in Childhood Obesity. [Review]. Journal of
Developmental , 6 (6), 367–372.]