
“โรคอ้วน ชวนคุยกันได้”… กับ 13 คำถามที่ควรถามแพทย์
คำถามทั้ง 13 ข้อนี้จะเป็นตัวช่วยเริ่มต้นบทสนทนา และเป็นก้าวแรกที่จะทำความเข้าใจว่าการควบคุมน้ำหนักมี ตัวเลือกการรักษาใดบ้าง
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า สำหรับผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน การลดน้ำหนักอย่างพอประมาณก็ส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างมาก
แนวทางการลดน้ำหนักที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ แต่ยังช่วยคงน้ำหนักที่เหมาะสมไว้จนเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการดําเนินชีวิตเพื่อสุขภาพ
หากน้ำหนักเกินส่งผลต่อสุขภาพ คุณสามารถเริ่มต้นการเดินทางเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าได้ตั้งแต่วันนี้!
แม้ว่าตัวเลขน้ำหนักที่แนะนำให้ลดจะขึ้นอยู่กับปัญหาด้านสุขภาพเฉพาะบุคคล แต่ความเห็นทางการแพทย์ที่เป็นเสียงเดียวกัน คือ “เพื่อสุขภาพที่ดี” เพียงเริ่มต้นจากการลดน้ำหนักประมาณร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น แล้วค่อยต่อด้วยการลดน้ำหนักลงอีก การลดน้ำหนักมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 10-15 ของน้ำหนักตัวเริ่มต้นนั้นสัมพันธ์กับสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นในอนาคต
บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับน้ำหนักที่คุณจะควรจะลดเพื่อให้เห็นถึงสุขภาพร่างกายที่ดีซึ่งสัมพันธ์กับน้ำหนักทั้งที่ดีต่อใจและดีต่อสุขภาพ
หากคุณกังวลเกี่ยวกับภาวะใด ๆ ที่กล่าวถึงในบทความนี้ โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อเข้ารับการประเมินทางการแพทย์และขอคำแนะนำเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาภาวะโรคอ้วนที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณ
แม้แต่การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคุณได้ แม้ร้อยละ 5 อาจมองไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่เมื่อนำตัวเลขนี้มามองเชิงลึก เช่น หากคุณมีน้ำหนัก 100 กก. คุณจะต้องลดเพียง 5 กก. เพื่อให้มีน้ำหนักน้อยลงร้อยละ 5
ข้อมูลนี้คือประโยชน์ที่คาดหวังได้ เมื่อลดน้ำหนักได้ถึงร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัว
การลดน้ำหนักได้ถึงร้อยละ 5 ของน้ำหนักทั้งหมดสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2
จากโปรแกรมการเปลี่ยนรูปแบบการดําเนินชีวิตที่ได้รับการรับรองจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ผู้ที่ลดน้ำหนักได้ประมาณร้อยละ 7 สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากถึงร้อยละ 58
จากการวิจัยพบว่า ในผู้ที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน การลดดัชนีมวลกาย (BMI) ลง 2 หน่วย (น้ำหนักที่ลดลงโดยเฉลี่ย 5.1 กก.) ส่งผลให้ความเสี่ยงของการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมลดลงกว่าร้อยละ 50
เช่นเดียวกันกับผู้ใหญ่อายุมากกว่า 60 ปีที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักที่ลดลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.7 ส่งผลให้อาการปวดเข่าลดลง เพิ่มความคล่องตัวและการทำงานของข้อเข่าโดยรวมให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ความรู้สึกไม่สบายตัวที่เกี่ยวข้องกับอาการข้อเข่าเสื่อมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง หากน้ำหนักตัวลดลงอีก
การมีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะโรคอ้วนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงมากมาย และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดอื่น ๆ
ปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดเป็นเหตุให้เกิดโรคหัวใจได้ ลดน้ำหนักที่สุขภาพดีของเราต้องเท่าไร
ข้อมูลแสดงว่าการลดน้ำหนักร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น ส่งผลให้ ค่าน้ำตาลสะสมในเลือด ไตรกลีเซอไรด์ ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ที่ยอดเยี่ยมคือการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนจะส่งผลเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องเอาใจไปผูกกับหมวดหมู่ BMI ตามเกณฑ์ (ภาวะโรคอ้วนระดับ 1 2 หรือ 3)
ผลลัพธ์ที่ดีต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยน้ำหนักที่ลดได้มากขึ้น
ภาวะโรคอ้วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและการอักเสบเรื้อรังแบบค่อยลุกลาม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อโรคเรื้อรังและภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อในเชิงลบ
จาการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบพบว่า การลดน้ำหนักในบุคคลที่มีภาวะโรคอ้วนและมีน้ำหนักเกินสามารถช่วยลดสัญญาณที่ก่อให้เกิดการอักเสบลง ซึ่งเรียกว่า ไซโตไคน์ในเลือด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง
จากการวิจัยพบว่า ในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่ใช้ยาฮอร์โมนบำบัด มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยสุ่มสำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน การลดน้ำหนักอย่างน้อยร้อยละ 5 ช่วยลดความเข้มข้นของเอสโตรเจนในซีรั่มและตัวบ่งชี้ทางชีวภาพอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในมะเร็งเต้านม การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการลดน้ำหนักในระดับที่พอเหมาะอาจช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเต้านมอย่างชัดเจน
จากการศึกษาแยกสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วน พบว่าผู้ที่ลดน้ำหนักลงได้ตั้งแต่ร้อยละ 5 ขึ้นไปของน้ำหนักตัวนั้น สามารถลดระดับของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งอาจมีความสำคัญทางคลินิกในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
ภาวะน้ำหนักเกินอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของคุณ ในการวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ พบว่าผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนและมีน้ำหนักเกินมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น
ผลการศึกษาพบว่า การลดไขมันในร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะไขมันในช่องท้องเป็นส่วนสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของผู้เข้าร่วม โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยทางประชากร
ในการศึกษาของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ผู้ใหญ่ที่มีภาวะโรคอ้วนที่ลดน้ำหนักได้ตั้งแต่ร้อยละ 5 ขึ้นไปของน้ำหนักตัวเริ่มต้น มีระยะเวลาและคุณภาพของการนอนหลับดีขึ้นภายใน 6 เดือน ส่วนผู้ที่มีอาการซึมเศร้าเล็กน้อยหรือมากขึ้นในช่วงแรกเริ่ม ก็มีภาวะอารมณ์โดยรวมที่ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ภาวะโรคอ้วนสามารถขัดขวางการเจริญพันธุ์ของเพศหญิงด้วยวิถีทางชีวภาพต่าง ๆ
การศึกษาหนึ่งได้รายงานว่า หลังจากที่ผู้ป่วย PCOS ที่มีภาวะโรคอ้วนรับประทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำ พบว่ามีรอบเดือน การตกไข่ และภาวะเจริญพันธุ์ที่ดีขึ้น ในระหว่างการศึกษา ผู้ที่ลดน้ำหนักได้อย่างน้อยร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวสามารถตั้งครรภ์ได้เองตามธรรมชาติ นักวิจัยสรุปได้ว่า การลดน้ำหนักเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยผู้ป่วย PCOS ที่มีบุตรยากและมีน้ำหนักเกิน
ในการศึกษาแยกร้อยละ 80 ของผู้หญิงที่มีภาวะโรคอ้วนที่มี PCOS และสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าร้อยละ 5 จากการทานอาหารที่มีน้ำตาลลดลง พบว่าการทำงานของระบบสืบพันธุ์ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก
เนื้อเยื่อไขมันส่วนเกินจะสร้างสารก่อการอักเสบที่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อข้อต่อ ซึ่งอาจทำให้เจ็บปวดมากขึ้นจากการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA)
นอกจากนี้ ภาวะโรคอ้วนยังส่งผลเสียต่อโอกาสที่จะช่วยบรรเทาอาการอย่างยั่งยืนถึงร้อยละ 47 จากการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ในการศึกษาย้อนหลัง นักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยโรค RA ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 67) มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะโรคอ้วน การลดน้ำหนักที่เกี่ยวข้องทางคลินิก (มากกว่าหรือเท่ากับ 5 กก.) มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค RA ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น อาการกดเจ็บตามแนวข้อ ความเจ็บปวด และการทำงานของข้อ
นักวิจัยในการศึกษาตั้งข้อสังเกตว่า การลดน้ำหนักไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใดก็เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เข้าร่วมการวิจัย มีความสัมพันธ์ ที่เป็นสัญญาณบวกระหว่างน้ำหนักตัวที่ลดลงได้กับความรุนแรงของโรคที่ลดลง ซึ่งส่งผลดีในเรื่องอาการกดเจ็บตามแนวข้อ ความเจ็บปวด และการทำงานของข้อ หากลดน้ำหนักลงได้มากขึ้น
มีการบันทึกการลดน้ำหนักเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางจุลกายวิภาคของ NASH ด้วยการลดน้ำหนักตัวร้อยละ 5
ในระหว่าง 52 สัปดาห์ของการศึกษา ผู้ป่วย NASH ที่สามารถลดน้ำหนักได้ มีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในสี่หายขาดจากโรคไขมันคั่งสะสมในตับร้อยละ 47 ลดระดับความรุนแรงของโรคตับคั่งไขมันที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ และร้อยละ 19 สังเกตเห็นว่าพังผืดทุเลาลง
สังเกตเห็นประโยชน์ที่มากที่สุดในผู้ป่วยที่ลดน้ำหนักได้ตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไปของน้ำหนักตัว ซึ่งรวมถึงอัตราการลดสูงสุดใน NASH การหายขาดจาก NASH และพังผืดทุเลาลง
นอกจากนี้ยังมีการบันทึกว่าการลดน้ำหนักร้อยละ 5 ช่วยลดไขมันในตับ
ผู้ที่ลดน้ำหนักได้มากกว่าหรือเท่ากับ
ร้อยละ 10 มีอัตรา NASH
ลดลงมากที่สุดรวมถึงการทุเลาลงของพังผืด และ ร้อยละ 90 บ่งชี้ว่าหายขาดจากโรคได้
แม้ว่าการลดน้ำหนักร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น
อาจส่งผลต่อสุขภาพอย่างมาก
แต่ประโยชน์เหล่านี้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการลดน้ำหนักที่ต่อเนื่องตามมา
การศึกษาล่าสุดได้วิเคราะห์ข้อมูลในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะโรคอ้วนในสหราชอาณาจักรมากกว่าครึ่งล้านราย
บุคคลในกลุ่มลดน้ำหนักสามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 13 สมมติว่าค่าดัชนีมวลกาย 40 กก./ตร.ม. ก่อนการลดน้ำหนัก ผลลัพธ์นี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ร้อยละ 41) ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (ร้อยละ 40) โรคความดันโลหิตสูง (ร้อยละ 22) ภาวะไขมันในเลือดสูง (ร้อยละ 19) และโรคหอบหืด (ร้อยละ 18)
ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมที่ลดน้ำหนักได้ร้อยละ 10–15 ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น มีความดันโลหิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก
ในการศึกษา ผู้เข้าร่วมที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน และเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวลดลงโดยเฉลี่ย 9 มิลลิเมตรปรอท ผู้เข้าร่วมการวิจัยยังได้รับประโยชน์จากสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
จากการวิเคราะห์อภิมานของงานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ระบุว่ากาลดน้ำหนักตัว 1 กก. มีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตที่ลดลงประมาณ 1 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเป็นการเน้นย้ำว่า การลดน้ำหนักมีความสำคัญต่อการป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูง
การลดน้ำหนักไม่เกินร้อยละ 15 ของน้ำหนักตัวช่วยลดความหนาแน่นของไขมันคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ไตรกลีเซอไรด์ และระดับคอเลสเตอรอลรวม
ในการวิเคราะห์อภิมาน จากงานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบมากกว่า 70
ครั้ง การลดน้ำหนักด้วยวิธีการต่าง ๆ (รูปแบบการดําเนินชีวิต เภสัชวิทยา
และการผ่าตัด) สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระดับไขมันในเลือดอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ
แม้ว่าการลดน้ำหนักร้อยละ 5 ของน้ำหนักตัวสามารถช่วยให้หัวใจของคุณดีขึ้น แต่การลดน้ำหนักที่มากขึ้นจะทำให้สุขภาพของหัวใจดีขึ้นไปอีก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลงด้วย
ในการศึกษาในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักที่ลดลงมีความสัมพันธ์กับผลดีในระดับของปัจจัยเสี่ยง ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ลดน้ำหนักลงได้ มากกว่าร้อยละ 10 พบว่าน้ำตาลกลูโคส ไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอลรวม และคอเลสเตอรอล LDL ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าผู้ป่วยที่ลดน้ำหนักได้น้อยกว่า
ค่าความชุกของโรคกรดไหลย้อน ดีขึ้นทั้งในผู้ชายที่ลดน้ำหนักได้มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวพื้นฐานและในผู้หญิงที่ลดน้ำหนักได้ร้อยละ 5-10
เนื่องจากค่าความชุกของกรดไหลย้อน (ร้อยละ 37) ในผู้ที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน นักวิจัยจึงตั้งข้อสังเกตว่าการลดน้ำหนักของผู้เข้าร่วมการวิจัยส่วนใหญ่สามารถช่วยให้หายขาดจากอาการนี้ได้โดยสมบูรณ์
ในการศึกษาผู้ป่วยภาวะโรคอ้วนที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม (OA) โดยที่สามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 13.5 ของน้ำหนักตัวพื้นฐาน ทำให้ส่งผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งได้แก่
ผู้ป่วยระบุว่าตนสามารถเคลื่อนไหวดีขึ้นโดยรวมและเจ็บปวดน้อยลงซึ่งบันทึกไว้ระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกาย
นักวิจัยจึงแนะนำว่าการลดน้ำหนักมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม
(OA) และภาวะโรคอ้วน
ในงานวิจัยสุ่มเกี่ยวกับผลของการทานอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วต่อผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม นักวิจัยพบว่า การลดน้ำหนักร้อยละ 10 ช่วยให้มีสมรรถภาพทางกายดีขึ้นร้อยละ 28
การพัฒนาของมะเร็งบางชนิดมีความสัมพันธ์กับระดับไขมันส่วนเกิน เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งไต มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือน
การศึกษาที่ติดตามผลในสตรีวัยหมดประจำเดือนพบว่า การลดน้ำหนักตัวเริ่มแรกมากกว่า 9 กก. ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิด รวมถึงมะเร็งเต้านม เยื่อบุโพรงมดลูก และลำไส้ใหญ่ อัตราการเกิดมะเร็งลดลงโดยรวมร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับผู้เข้าร่วมที่ลดน้ำหนักได้ไม่ถึง 9 กก.
นักวิจัยได้เชื่อมโยงค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงขึ้นกับความบกพร่องในคุณภาพชีวิตทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสตรีและผู้เข้ารับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร
ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนที่ลดน้ำหนักลงได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 13 พบว่าคุณภาพชีวิตทางเพศของพวกเขาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลายคนระบุว่าตนรู้สึกมีเสน่ห์มากขึ้นและมีแรงขับทางเพศที่มากขึ้น พัฒนาการส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรก หลังจากที่ผู้เข้าร่วมลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 11.8 ของน้ำหนักตัว
การศึกษาได้ดำเนินการเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้เข้าร่วมที่เข้ารับการลดน้ำหนักโดยเฉลี่ยจะลดน้ำหนักตัวลงไปได้ร้อยละ 9.9 ในระหว่างการศึกษา พบว่าผู้เข้าร่วมการวิจัยมีสมรรถภาพทางเพศในระดับปกติจนถึงดีขึ้น
การศึกษาในผู้หญิงที่มีภาวะโรคอ้วนและเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 รายงานว่า รูปแบบการดําเนินชีวิตที่ใช้ความพยายามในการลดน้ำหนักประมาณ 7.6 กก. ช่วยให้ตนมีสมรรถภาพทางเพศดีขึ้น
นักวิจัยได้ศึกษาสตรีวัยหมดประจำเดือนที่เข้าร่วมโปรแกรมดูแลโภชนาการ ที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยลดไขมันในอาหารและเพิ่มการบริโภคผลไม้ ผัก และใยอาหาร
ผู้หญิงที่ลดน้ำหนักได้อย่างน้อยร้อยละ 10 มีแนวโน้มที่จะลดหรือขจัดอาการจากภาวะวัยหมดประจำเดือนได้มากขึ้น เช่น อาการร้อนวูบวาบและเหงื่อออกตอนกลางคืนเป็นเวลาหนึ่งปี
นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า การลดน้ำหนักและรูปแบบการดําเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพเป็นทางเลือกที่ดีในฮอร์โมนบำบัด เพื่อบรรเทาอาการจากภาวะวัยหมดประจำเดือน
แพทย์มักจะแนะนำให้ลดน้ำหนักเพื่อรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) OSA เป็นภาวะร้ายแรงที่อาจทำให้หยุดหายใจเป็นครั้งคราวระหว่างการนอนหลับ
นักวิจัยได้ติดตามผลกับผู้ป่วย OSA และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า OSA มีความรุนแรงลดลงหลังการลดน้ำหนัก ผู้เข้าร่วมที่ลดน้ำหนักได้ 10 กก. ขึ้นไป (ประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเฉลี่ยของผู้เข้าร่วม) มีอาการ OSA ลดลงมากที่สุด พวกเขาสรุปว่าการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวทำให้เกิดผลดีในแง่ของความรุนแรงของ OSA
อีกการศึกษาหนึ่งพบว่า การลดน้ำหนักร้อยละ 10 นั้นมีประสิทธิภาพ ในแง่ของการจัดการภาวะหายใจผิดปกติจากการนอนหลับของผู้เข้าร่วม ซึ่งช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้น
การลดน้ำหนักอาจช่วยลดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้
ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วนที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเข้าร่วมโปรแกรมลดน้ำหนัก 6 เดือน ซึ่งรวมถึงการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
หลังจากการลดน้ำหนักโดยเฉลี่ย ร้อยละ 8
ความถี่ของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ลดลงร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับ
ร้อยละ 28 ในกลุ่มควบคุม
โดยรวมแล้ว ผู้หญิงในกลุ่มลดน้ำหนักได้ผลลัพธ์ที่สำคัญทางคลินิกมากกว่า ในบางเคส จำนวนโดยรวมของการเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ด และปัสสาวะราดลดลงร้อยละ 70
นักวิจัยได้สรุปว่า ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่ลดลงนั้นอาจเป็นผลดีจากการลดน้ำหนักในระดับปานกลาง
การมีน้ำหนักเกินสัมพันธ์กับผลเสียในการทำงานขั้นสูงของสมอง
ในทำนองเดียวกัน ภาวะโรคอ้วนในช่วงวัยกลางคนสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์
เมื่อสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกินได้รับการควบคุมอาหารเป็นเวลา 6 เดือน โดยสามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 9.2 ของน้ำหนักตัว นักวิจัยได้สังเกตเห็นผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีนัยสำคัญในความจำอาศัยเหตุการณ์
สำหรับผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดําเนินชีวิตครั้งใหญ่และทำได้ทุกวัน ประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพก็จะมีมากและสม่ำเสมอเช่นกัน
การลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องยึดมั่นในกิจวัตรและรูปแบบพฤติกรรมใหม่
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์เพิ่มเติมจากการลดน้ำหนักที่มากขึ้นนั้นคุ้มค่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อกังวลเฉพาะของคุณ ลองปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อรับการประเมินทางการแพทย์และข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกการรักษาเพื่อลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักมากถึงร้อยละ 15 สามารถช่วยในด้านต่าง ๆ ดังนี้
การลดน้ำหนักร้อยละ 5-10 สามารถรักษาระดับเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ก่อให้เกิดการอักเสบลง แต่การลดน้ำหนักได้อีกก็ยิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปอีก
งานวิจัยได้ตรวจสอบผลของการลดน้ำหนักต่อเซลล์ภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 กก./ตร.ม. และเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือมีภาวะก่อนเบาหวาน ผู้เข้าร่วมลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 13.5 ของน้ำหนักตัว แสดงให้เห็นถึงภูมิคุ้มกันที่ช่วยต้านการอักเสบมีความสมดุลที่ดีขึ้น
การสังเกตของผู้หญิงในวัยหลังหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วน ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าร้อยละ 15 ของน้ำหนักตัว พบว่าระดับวิตามินดีเพิ่มขึ้นสามเท่าในระหว่างการศึกษา
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารเฉพาะบุคคล วิตามินดี (โมเลกุลที่ละลายได้ในไขมัน) ช่วยลดการอักเสบและส่งผลต่อการเติบโตของเซลล์และการทำงานของภูมิคุ้มกัน
ในการศึกษาของสำนักวิชาแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก นักวิจัยได้ติดตามสังเกตผู้ใหญ่ที่มีภาวะโรคอ้วนในช่วงระยะเวลาเฉลี่ย 10.9 ปี
ผู้เข้าร่วมการวิจัยได้ลดน้ำหนักลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 18.3 ของน้ำหนักตัวจากการผ่าตัดรักษา ซึ่งช่วยลดอัตราการตายได้ร้อยละ 24 ตลอดระยะเวลาการศึกษา
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักจะอยากทานอาหารที่มีแคลอรีสูงตามใจปากมากขึ้นในระหว่างวัน
ซึ่งส่งผลให้มีการบริโภคอาหารมากขึ้น เช่น แฮมเบอร์เกอร์ พิซซา และขนมหวาน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไม่ได้รับประทานอาหาร
การศึกษาแยกในผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินและมีภาวะโรคอ้วนพิสูจน์ให้เห็นผลลัพธ์ที่คล้ายกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมได้รับการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม และลดน้ำหนักตัวลงได้โดยเฉลี่ยร้อยละ 14.6 หลังจากช่วงการบำบัด สังเกตว่าผู้หญิงมีความอยากอาหารที่มีน้ำตาลน้อยลง ซึ่งช่วยให้มีการตอบสนองความอร่อยในระดับปกติ
แม้ว่าปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังบางชนิดจะดีขึ้นจากการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่จะได้รับ
ปัจจัยด้านสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตและความเข้มข้นของไขมันในเลือดมีความสัมพันธ์กันไปทางบวกกับการลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักมากขึ้นสามารถปรับปรุงตัวบ่งชี้ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรัง ลดปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวาน
โอกาสในการบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ได้ดีที่สุด เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้นและโรคไขมันคั่งสะสมในตับ คือการลดน้ำหนักตัวร้อยละ 10-15
หากคุณยังคงมีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะโรคอ้วน การเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยสามารถให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณได้ทันที
สำหรับผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคประจำตัวที่มาเพียบ สามารถเห็นประโยชน์ได้ด้วยการลดน้ำหนักร้อยละ 5 แม้แต่การลดน้ำหนักร้อยละ 2-3 ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็คาดการณ์ว่าระดับคอเลสเตอรอลจะดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้
สุขภาพที่ดีขึ้นจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องเมื่อคุณลดน้ำหนักได้มากขึ้น ในส่วนนี้ เราได้อธิบายถึงประโยชน์ในการรักษาที่คุณอาจเห็นได้จากการลดน้ำหนักแต่ละระดับ
ประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพจากการลดน้ำหนักร้อยละ 5
ประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพจากการลดน้ำหนักร้อยละ 10
ประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพจากการลดน้ำหนักถึงร้อยละ 15
ไม่มีสูตรลัดสำหรับการลดน้ำหนัก ในขณะที่คุณกำลังเดินหน้าลดน้ำหนัก ควรมีความอดทนและวิธีคิดในระยะยาว ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักไม่ได้เป็นตัวกำหนดสุขภาพเพียงอย่างเดียว
ประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพมากมายเกิดขึ้นทีละน้อยในช่วงเวลาหลายปี “สุขภาพเท่ากับรูปแบบการดําเนินชีวิตระยะยาว ไม่เหมือนกับการแข่งวิ่งไปให้ถึงเส้นชัย”
คุณอาจได้รับประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริงและไม่อาจวัดค่าได้
ซึ่งสัมพันธ์กับการบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แม้ว่าจะไม่ง่ายที่จะมุ่งหน้าในเส้นทางสู่รูปแบบการดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดีมากขึ้น แต่จำไว้ว่าการเดินทางนับพันไมล์นี้เริ่มต้นจากก้าวแรกเพียงก้าวเดียว การลองเปลี่ยนแปลงแม้กับสิ่งเล็ก ๆ ในตอนนี้ อาจส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่ออนาคตของคุณ
หากประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพจากการลดน้ำหนักนั้นดีต่อใจและดีต่อกาย ให้พิจารณาว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางการลดน้ำหนักของคุณแล้ว