ในปี 2563 เราทุกคนต่างต้องปรับตัวกับมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม
เราเจ็บแต่ไม่จบทุกวันเป็นระยะเวลาหลายเดือนติดต่อกันแล้ว
และมันก็ไม่สนุกเลย บางคนต้องเจอกับอาการเบื่อบ้าน
แต่การรักษาระยะห่างทางสังคมไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกคน
ในโลกแห่งความจริง ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนนั้นผ่านเรื่องนี้มาอย่างโชกโชน
เมื่อเรากลับมาเข้าสังคมอีกครั้ง ผมอยากทราบ
โดย Dr. Michael Vallis, สิงหาคม 2563
ผมมาจากแคนาดา ประเทศที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยและเป็นมิตร
อันที่จริงผมมาจากแคนาดาตะวันออก
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นที่ที่เป็นมิตร
อาจจะมากกว่ามาตรฐานของชาวแคนาดาก็ว่าได้ แต่ตั้งแต่เดือนมีนาคม
กลายเป็นว่าเรามีความรู้สึกไม่อาจไว้ใจเพื่อนบ้านของเราได้
และเมื่อเราพบคนในร้านขายของชำที่เดินตามทางเดินที่เรายืนอยู่ด้วย
เรารู้สึกมีภัยและหวาดระแวง
ผู้ที่ยังใหม่ต่อภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมและรับรู้ถึงภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นโดยทั่ว
กำลังรอคอยที่จะให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เว้นแต่
ความปกติจะไม่กลับไปเหมือนเดิม! เราไม่ได้หลุดพ้นจากการระบาดระลอกแรก
และเราต่างทราบว่าเราจะเจอกับการระบาดระลอกที่สองแน่นอน และเราก็คาดว่า
อาจต้องเผชิญกับไวรัสเช่นนี้มากขึ้น ดังนั้นลองพิจารณาว่า
“ความปรกติใหม่” มีหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าความปรกติใหม่ของเราจะดีกว่าวิถีชีวิตแบบเดิม
ในโลกแห่งความจริงของผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนนั้น
ต่างผ่านภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมมาอย่างโชกโชน
อคติและตราบาปที่มีต่อโรคอ้วนนั้นทำให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น
พวกเขาหาวิธีหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีโอกาสสูงที่จะเกิดอคติเช่นนี้
การซื้อของในร้านขายของชำเวลากลางคืนเพื่อลดโอกาสที่จะมีคนวิจารณ์สิ่งของที่อยู่ในตะกร้าชอปปิง
สั่งซื้อเสื้อผ้าออนไลน์เพื่อหลีกเลี่ยงการลองเสื้อผ้าในที่สาธารณะ ดู
Netflix
เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจเมื่อต้องนั่งที่นั่งที่ปรับเอนไม่ได้ในโรงภาพยนตร์
ผมควรอธิบายต่อไหมครับ
การรับรู้ถึงภัยคุกคามย่อมก่อให้เกิดความวิตกกังวล
นี่คือวิธีที่สมองสร้างขึ้นเพื่อความอยู่รอด
เราต้องจัดการกับภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดอันตรายขึ้น มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ดังนั้นการตอบสนองต่อภัยคุกคามต่ออันตรายทางสังคม (การถูกดูหมิ่น
การวิจารณ์) ก็เท่ากับการตอบสนองต่อภัยคุกคาม ต่ออันตรายทางกายภาพ
ประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนในโลกที่เต็มไปด้วยอคติ
ก็เหมือนกับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19
บางที... แค่บางที
เราอาจสามารถวาดเส้นขนานระหว่างภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมในช่วงสถานการณ์โควิด-19
นี้ กับภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมอันเนื่องมาจากการคุกคามด้วยอคติเพื่อประโยชน์บางอย่าง
ผลเสียที่ตามมาอย่างหนึ่งที่น่าเสียดายของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดในสังคมคือ
เรามักพอใจคนที่เหมือนกับเรา และหากมีอะไรผิดในความสัมพันธ์ ก็ง่ายที่จะกล่าวโทษในความต่างระหว่างบุคคล
ดังนั้น เราจึงเริ่มเห็นว่าในบางสถานการณ์
ผู้ที่มีเชื้อสายเอเชียถูกต่อต้านด้วยอคติ
เนื่องด้วยสาเหตุของโรคโควิด-19
คุณทราบหรือไม่ว่าไข้หวัดใหญ่สเปนไม่ได้เริ่มต้นที่สเปน
โรคนี้มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่สเปน
เพราะสเปนเป็นประเทศแรกที่ยอมรับว่ามีโรคนี้เกิดขึ้น ใช่ครับ อคติเกิดขึ้นได้ง่ายมาก
อคติเกิดขึ้นจากลักษณะการทำงานตามสัญชาตญาณของร่างกายมนุษย์
แต่เมื่อมนุษยชาติได้พัฒนาเป็นเผ่าพันธุ์
เราก็ได้ก้าวข้ามสัญชาตญาณเพื่อพัฒนาด้านสติปัญญาและศีลธรรมด้วย
อันที่จริง สมองเป็นอวัยวะของพัฒนาการ
ผมต้องการบอกว่า เมื่อโครงสร้างสมองใหม่พัฒนาขึ้นตามวิวัฒนาการ
โครงสร้างสมองแบบเก่าก็มิได้หยุดทำงาน
การทำงานใหม่ของสมองได้พัฒนาเพิ่มเติมจากระบบเก่า
ในเชิงจิตวิทยา เรื่องนี้เป็นประเด็นที่สำคัญ
ซึ่งหมายความว่าเรามีระบบจิตวิทยา 2 ระบบที่ทำงานอยู่
การทำงานของสมองตามสัญชาตญาณในยุคดึกดำบรรพ์แบบเดิมนั้นอยู่ในสมองส่วนกลาง
ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานที่เป็นไปตามอารมณ์และควบคุมไม่ได้
(“ฉันต้องการสิ่งนี้ ฉันต้องการทั้งหมด ฉันต้องการตอนนี้”)
และในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า (กลีบของเปลือกสมองตรงหน้าผาก)
เรามีระบบบริหาร ส่วนนี้คือระบบที่ใช้คิดตรรกะและปัญญา
ซึ่งสามารถแก้ปัญหา คิดตรึกตรอง และการอดทนรอคอยสิ่งที่พึงใจ
หลายครั้งที่เราประสบกับความตึงเครียดระหว่างสองระบบนี้
คุณรู้สึกอย่างไร คุณควรทำอย่างไร
สังเกตได้ว่าบ่อยครั้งที่คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไม่เหมือนกัน
ระบบที่เป็นไปตามอารมณ์ต้องการความพึงพอใจในทันทีและคิดโดยอัตโนมัติ
(เช่น “เหมือนกับฉันคือดี ไม่เหมือนฉันคือแย่”)
ระบบที่ใช้เหตุผลจะพิจารณาถึงหลักการและคุณค่า (เช่น
“อย่าตัดสินคนจากภายนอก เราทุกคนเท่าเทียมกัน”)
ภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมจะมีเพียงชั่วคราว
เรากำลังเริ่มที่จะออกจากบ้านกันแล้ว เมื่อเรากลับมาเข้าสังคมอีกครั้ง
ผมอยากรู้ว่าเราจะเลือกให้ที่แห่งนี้เป็นสังคมที่ต่างไปจากเดิมได้หรือไม่
อคติเป็นปัญหาที่เราแก้ไขได้
อคติต่อผู้ที่มีเชื้อสายเอเชียนั้นไม่ยุติธรรมเลย
คตินิยมเชื้อชาติอย่างเป็นระบบต่อคนผิวสี (Black Lives do Matter)
และอคติต่อผู้ที่มีรูปร่างใหญ่กว่านั้นก็ไม่ยุติธรรมเช่นกัน
ในฐานะนักจิตวิทยา
บางครั้งผมก็สนับสนุนให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ยกตัวอย่าง ลองนึกภาพว่าคุณเป็นคนสูบบุหรี่และกำลังจะเปลี่ยนงาน
ผมอาจจะขออนุญาตใช้โอกาสในการเริ่มงานใหม่นี้มาเป็นตัวช่วย
หากบุคคลนั้นสนใจที่จะเลิกบุหรี่
นั่นคือการเข้าไปทำงานใหม่ในฐานะผู้ไม่สูบบุหรี่
บอกผู้คนในที่ทำงานใหม่ของคุณว่าคุณไม่สูบบุหรี่และทำให้ตนเป็นผู้ไม่สูบบุหรี่จริง ๆ
วิธีนี้สามารถช่วยได้เพราะมันจะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่และเปลี่ยนแนวทางที่ผู้คนรับรู้ถึงคุณ
โรคโควิด-19 อาจคล้ายกับงานใหม่
เราสามารถกลับเข้าสู่สังคมโดยทำเสมือนว่าเป็นสังคมใหม่
นี่คือสิ่งสำคัญในตอนนี้การเป็นคนเอเชียไม่ได้แปลว่าคุณเป็นต้นเหตุของโรคโควิด-19
การเป็นคนผิวสีไม่ได้หมายความว่าคุณสมควรถูกเลือกปฏิบัติ และการมีรูปร่างใหญ่กว่าก็ไม่ใช่ปมด้อย
ข้อจำกัดความรับผิด: มุมมองและความคิดเห็นในบล็อกนี้เป็นมุมมองและความคิดเห็นของผู้เขียน
ซึ่งมิได้สะท้อนถึงนโยบายทางการหรือจุดยืนของหน่วยงาน องค์กร นายจ้าง หรือบริษัทอื่นใด